วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยันต์ 5 แถว


การสักยันต์ 5 แถวนั้น วัตถุประสงค์หลักๆในการสักก็คือ เพื่อหนุนดวง เสริมดวง ให้ผู้ที่รับการสักนั้น มีดวงชะตาที่ดีขึ้น ทำกิจการค้าขายรุ่งเรือง ให้ผลทางด้านเมตตามหานิยม จึงไม่แปลกเลยที่จะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน กลุ่มผู้ที่นิยมสักก็จะเป็นพวก ดารา นักแสดง นักร้อง ผู้ที่ทำกิจการค้าขาย เพราะคำร่ำรือถึงอาณุภาพความเข้มขลังของยันต์ 5 แถวนี้ทำให้มีผู้ที่ต้องการสักเป็นจำนวนมาก อาจารย์สักที่เก่งๆมีหลายท่านด้วยกันแต่ในทีนี้ขอหยิบยกท่าน อ.หนู กันภัย ขึ้นมาพูดถึงด้วยความเคารพ ยันต์ 5 แถวของ อ.หนู กันภัย มีพุทธคุณดังนี้

แถวที่ 1 คือพระคาถาเมตตามหานิยม

แถวที่ 2 คือพระคาถาหนุนดวงชะตา

แถวที่ 3 คือพระคาถาแห่งความสำเร็จ (เรื่องหน้าที่การงาน)

แถวที่ 4 คือพระคาถาราศีประจำตัว

แถวที่ 5 คือพระคาถามหาเสน่ห์

โดยกำหนดให้วางไว้ที่บริเวณไหล่ด้านซ้าย โดยใช้เวลาสัก ประมาณ 15 นาที หลังจากสักเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาจารย์หนูกล่าว ผ่านล่ามว่ายันต์อักขระ 5 แถว ที่สักให้ไปทั้งหมดนี้ แปลรวมกันเป็น หัวใจของพระคาถาลงอักขระโบราณตามพระสูตรที่ได้ศึกษาร่ำเรียน มาทำให้อักขระที่มีทั้งหมดเกิดพลังและอานุภาพ พระสูตรที่กล่าวมา นั้นเมื่อมารวมกันครบองค์อักขระ จะทำให้มีพลังพุทธคุณ ไม่ว่าจะเป็น เจ้านายคนใกล้ชิดหรือเพศตรงข้าม เมื่อเห็นหรือได้พูดคุยจะเกิดความรักและหลุมหลง เรื่องการงานก็จะเจริญรุ่งเรือง ดวงไม่ตกต่ำ ใครเห็นใครรัก แม้กระทั่งคนเคยเป็นศัตรูกันก็กลับการเป็นมิตร

นึกไว้ตลอดยันต์ 5 แถวหนุนดวงนั้น ความหมายของอักขระแต่ละตัว จะเป็นองศาของดวงเมืองและดวงดาวต่างๆ ราศีกำลังวันจันทร์ ถึง อาทิตย์ ครบทั้ง 7 วัน ไม่ว่าจะเป็นดาวพระราหูที่จะแทรกเข้ามาทำให้ ดวงตก เช่น คุณพระอาทิตย์ 6 พระจันทร์ 15 อังคาร 18 พระพุทธ 17 พฤหัสบดี 19 พระศุกร์ 21 คุณพระเสาร์สิบทัศน์พระจักรพรรดิ์ 14 พระเกตุ 9 พระราหู 12 แม้กระทั่งองศาในตัวอักขระ 5 แถวนี้ยังมีองศา ด้นพระธรณี (คำว่าด้นคือการย่นระยะทาง) ที่เรายืนอยู่ทุกวันนี้ รวมถึง ธาตุต่างๆ เช่น (ปฐพีหมายถึงความอ่อนแข็ง) ธาตุดิน-(อาโปหมายถึง ความกำซาบ)ธาตุน้ำ-(วาโยหมายถึงสภาวะที่ไหลดัน)ธาตุลม-(เตโช หมายถึงความร้อน) ธาตุไฟ และโลกุตรธรรม (ธรรมหรือสิ่งที่อยู่เหนือ สภาวะทางโลก)ไหนๆ ก็ได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วจะขยายความตรง เรื่องของธาตุและเรื่องของโลกุตรธรรมให้ฟัง ธาตุ ในโลกมีมากมายก่ายกองเกินกว่าธาตุในตารางธาตุ มี ธาตุชนิดหนึ่งที่วิเศษเป็นธาตุที่บ่งชี้ถึงว่าพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ หรือหมดไปจากโลก แล้วธาตุนั้น คือ นิพพานธาตุปัจจุบันนิพพาน ธาตุยังคงอุดมอยู่ในสยามประเทศแห่งนี้ ผู้ใดอยากได้ชมเชยนิพพาน

ธาตุ ผู้นั้นย่อมพึงทำได้ทุกคนที่ได้เกิดมาเป็นเทวดาและมนุษย์โดย การสร้างบารมี เพราะพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์สาวก พระอรหันต์ที่ได้เชยชมและมีนิพพานทานเป็นเครื่องอยู่ ทุกพระองค์ ล้วนสะสมบารมีมาด้วยตนเองทั้งสิ้น บารมีอันประกอบไปด้วยทาน

บารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี อธิษฐานบารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี โดยมีเครื่อง ค้ำจุนบารมีเหล่านี้ที่เรียกว่า โพธิปักขิยธรรม 37 อันประกอบไปดำอานาปานัสสตินั้นถือว่า เป็นการสะสมบารมี เป็นการ บังคับจิตให้อยู่ในกายอย่างสงบนิ่ง ใครมีบารมีมาแต่ปางก่อนก็เป็นการ

ทบทวนและกระตุ้นจิตใต้สำนึกให้อยากกระทำความเพียร ในทางที่จะ

ได้เห็นนิพพานธาตุซึ่งเป็นธาตุเย็น การหมั่นสร้างความเพียรให้ถึงพร้อม และสม่ำเสมอมิได้ขาด หมั่นสั่งสมเพิ่มเติมความพยายามที่จะสร้าง ความดีทั้งกายและจิตใจ ผู้นั้นจะได้เข้าถึงนิพพานธาตุ เข้ากราบพระ- พุทธเจ้าได้อย่างใกล้ชิด ใน มนุษยโลกไม่มีนิพพานธาตุ สัตว์โลกอยู่อย่างลำบากยิ่งร้อน ทั้งภายในอันประกอบไปด้วยกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ซึ่ง เป็นไฟที่เรียกว่าไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ร้อนภายนอกอันประกอบ ไปด้วยวัตถุต่างๆ ที่ว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นไฟอันออก มาจากใจไปยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์

ฉะนั้น พวกเราทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ควรหมั่นสร้างบารมีตั้งแต่บัดนี้ เพื่อเป็นการสั่งสมบารมีของตนเอง เพื่อผลิตนิพพานธาตุซึ่งเผื่อแผ่ ความร่มเย็นให้กับตนเองและผู้อื่น ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ เชื่อว่าการหมั่นเพียรสั่งสมบารมีนั้น บิดา-มารดา ผู้ที่ให้กำเนิดนั้น

จะได้บุญบารมีจากกองบุญที่เราได้สร้างขึ้น เป็นความกตัญญูที่ลูก

หลานมองข้ามกันไป

. ส่วนคำว่า โลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก คือใจของเรา

เอง ถ้าเราอยากจะทราบว่าโลกุตรธรรมคือธรรมเหนือโลกเป็นอย่างไร ก็ต้องหมายถึงใจผู้ปฏิบัติตนได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมขั้นนั้นๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นภายในจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหมด

ภายในใจธรรมทุกขั้น นั่นละท่านว่าโลกุตรจิต โลกุตรธรรม เต็มภูมิ-ของจิตของธรรม เป็นเครื่องยืนยันกันได้ที่ใจ หากใจยังไม่สัมผัสเมื่อไร

แม้คำว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลกๆ ก็สักแต่ความจำ ความคาด ความหมาย หาความแน่ใจยังไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้สิ่งที่จะยืนยันกัน จึงเป็นเรื่องของการปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เมื่อ จิตได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมขั้นใดเข้าไป ย่อมทราบได้ชัดเจน ๆ ความพิสดารของจิตกับธรรมที่สัมผัสกันนั้น พิสดารเอามากทีเดียว ดังที่ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านแสดงไว้ ว่าปัญญาของมนุษย์เรานั้น มีมาก มายกว้างกว่ามหาสมุทรและใหญ่กว่าผืนฟ้า ไม่สามารถที่จะประมาณได้ จิตของเรานั้นสามารถที่จะสัมผัสและรับทราบปัญญาแห่งธรรมทั้ง

หลายที่เกิดขึ้นได้ .
ฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งใดมากีดกันหรือกีดขวาง ระหว่างธรรมกับ

จิตไม่ให้สัมผัสกันได้เลย ขอให้ปฏิบัติถึงขั้นที่ควรจะทราบเรื่องธรรม ทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตรเว้นพระพุทธเจ้าเสีย พระสารีบุตร เป็นผู้เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา หรือท่านผู้ที่บรรลุจตุปฏิสัมภิทาญาณนี่ ท่านเหล่านี้แตกฉานมากทีเดียว หมายถึงธรรมเกิดนั่นเอง ธรรมไม่เกิดเอาอะไรมาแตกฉาน เกิด อยู่ตลอดเวลา วิสัยของจิตเราจึง จะมาแข่งขันกันไม่ได้ เช่นเดียวกับภูมินิสัยวาสนานั่นเอง ภูมิของจิตของ ธรรมที่จะรู้ธรรมมากน้อยตามนิสัยวาสนาของตนก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะอิริยาบถใดเกิดอยู่อย่างนั้นตลอด จะมีอะไรเป็นสาเหตุให้เกิด ก็เกิด ไม่มีอะไรเป็นสาเหตุก็เกิด เกิดโดยลำพังของตน คือไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรที่จะมาบีบบังคับไม่ให้เกิด แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมีกรรมเป็นตัว กำหนดด้วยว่าจะช้า หรือเร็วที่เราจะไปให้เห็นธรรมนั้นๆ


การสักยันต์ทุกๆลายไม่ว่าจะเป็นลายใหนก็ตาม ปริศนาธรรมที่แฝงไว้ก็คือ ต้องการให้คนที่รับการสักนั้นประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีล หมั่นทำความดี นั่นเอง

1 ความคิดเห็น:

ผู้ติดตาม